ดับเบิ้ลแชมป์ที่พลาด เครซี่แก๊งแผลงฤทธิ์
ดับเบิ้ลแชมป์ที่พลาด เครซี่แก๊งแผลงฤทธิ์ ในยุค 70 ต่อด้วย 80 ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามพวกเขาคว้าแชมป์เป็นว่าเล่นในหลายๆ รายการ เช่นเดียวกันกับในปี 1987 – 1988
ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 (ชื่อเก่าของพรีเมียร์ลีก) มาครองได้แล้วทะลุเข้าชิงชนะเลิศศึกเอฟเอคัพ กับ วิมเบิลดัน หลายๆ คนคงคิดว่า “หงส์แดง” คงจะเอาชนะได้อย่างไม่ยากเย็น พร้อมคว้าดับเบิ้ลแชมป์มาครองได้อีกครั้ง แต่ความเป็นจริงกลับเป็นอีกอย่าง
ลิเวอร์พูล ที่ตอนนั้นมี “คิง เคนนี” เคนนี ดัลกลิช คุมทีมสร้างผลงานได้อย่างสุดยอด พร้อมกับมีกองหน้าดาวยิงอย่าง จอห์น อัลดริจจ์ เป็นตัวชูโรง ลิเวอร์พูล เริ่มสตาร์ทในรอบที่ 3 พวกเขาพบกับ สโต๊ค ซิตี ในเกมแรกนั้นทั้งสองทีมเสมอกันไปด้วยสกอร์ 0 – 0 มาในเกมที่สอง “หงส์แดง” ทำผลงานได้ดีกว่าเบียดเอาชนะไป 1 – 0 จากนั้นในเกมรอบที่ 4 ลิเวอร์พูล
เล่นแบบไม่ต้องกดดันอะไรเอาชนะ แอสตัน วิลล่า ไปสบายๆ 2 – 0 ก่อนมาเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ในรอบที่ 5 และถล่มแมนเชสเตอร์ ซิตี ยับเยินในศึกรอบที่ 6 จากนั้นปิดท้ายด้วยการชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ตบท้ายผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศอย่างสบายๆ
ทางด้านของ วิมเบิลดัน มี บ็อบบี กูลด์ คุมทีมพวกเขามีทั้ง วินนี โจนส์, เดนนิส ไวส์, จอห์น ฟาชานู, จอห์น สเกลล์ และ เดฟ บีเซนต์ เป็นนักเตะตัวหลัก และได้รับฉายาว่า “เดอะ เครซี่แก๊ง” เช่นเดียวกันกับ ลิเวอร์พูล
พวกเขาออกสตาร์ทในรอบที่ 3 และเอาชนะ เวสต์บรอมวิช ไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะผ่าน แมนส์ฟิลด์ ทาวน์ มาได้ในรอบที่ 4 เอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในรอบที่ 5 ก่อนจะมาเอาชนะ วัตฟอร์ด ได้ในเกมรอบที่ 6 ก่อนที่ในรอบรองชนะเลิศจะเฉือนเอาชนะ ลูตัน ทาวน์ อย่างสุดมันด้วยสกอร์ 2 – 1
ในเกมรอบชิงชนะเลิศครั้งนั้น ความกดดันไม่ได้อยู่ที่ฝ่าย วิมเบิลดัน แต่อย่างใด แต่กลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่กดดันเนื่องจากชื่อชั้นและชื่อของนักเตะนั้นดีกว่าเยอะ
เริ่มเกมเป็น ลิเวอร์พูล ที่เปิดเกมใส่ตามแบบฉบับทีมที่เป็นต่อ ท่ามกลางเสียงเชียร์จากฝั่งเดอะค็อปที่ตะโกนอย่างไม่หยุดยั้งยิ่งทำให้นักเตะมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น แต่แล้วในนาที 37 กลับกลายเป็นฝั่งของ วิลเบิลดัน ที่ได้ประตูขึ้นนำ
จากจังหวะที่ ไวส์ เปิดฟรีคิกด้านซ้ายเข้ามาและเป็น ลอว์รี ซานเชส จัดการเข้าไปไม่เหลือ จากนั้น “หงส์แดง” เปิดเกมบุกไม่ยั้งและน่าจะได้ประตูตีเสมอในช่วงครึ่งหลังเมื่อได้ลูกโทษแต่ อัลดริจจ์ กลับยิงไม่เช้าแบบไม่เชื่อสายตาแฟนบอล จากนั้นจบเกมจึงเป็น วิมเบิลดัน ที่หักปากกาเซียนพลิกเอาชนะ ลิเวอร์พูล ไป 1 – 0 คว้าแชมป์เอฟเอคัพ ไปครอง